Mazda RX-7 (Mazda RX7) เป็นสายพันธ์รถสปอร์ต (Sport Car) ที่อยู่ในตำนานมานานมากกับวงการรถยนต์ ด้วยระยะเวลาถึง 24 ปีเลยทีเดียว นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1978-2002 เลยทีเดียว สำหรับเจ้า Mazda RX7 นั้นได้วางขุมพลังเครื่องยนต์แบบ โรตารี่ (Rotary)ซึ่งมันเป็นรถที่เป็นสายพันธ์เดียวกับ Mazda RX-3 ที่เป็นรถรุ่นพี่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ โรตารี่ เหมือนกันซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ เจ้า Mazda RX-7 มีการออกแบบมาเป็นบอดี้แบบ คูเป้ (Coupe) มีขนาดเบา และ การวางเครื่องยนต์นั้นวางเครื่องเยื้องมาหลังเพลาของล้อหน้าเล็กน้อยซึ่งทางบริษัท มาสด้า มอเตอร์เซล จำกัด ต้องการออกแบบมาให้เป็นอย่างนั้น เพราะต้องการเจาะตลาดรถยนต์ในประเทศ อเมริกา และยังสามารถสั่งที่นั่งด้านหลังแบบพิเศษได้ด้วย ซึ่งมีการวิวัฒนาการด้วยกันถึง 3 โฉม (Generation) เริ่มจากโฉมล่าสุดกันก่อนเลยนะครับ
โฉมที่ 3 (Generation3) มีการผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1991-2002
Mazda RX-7 ชื่อเต็มว่า Efini RX-7 หรือ FD3S ในรหัสนี้มีการแยกรายละเอียดย่อยเยอะมาก มีตั้งแต่
โฉมที่ 2 (Generation2) มีการผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1985-1991
Mazda RX-7 โฉมที่ 2 นี้ยังคงใช้ชื่อ Savanna RX-7 อยู่แต่ชื่อรหัสบอดี้นั้นใช้เป็น FC3S และมี DNA การออกแบบบางส่วนมาจาก ปอร์เช่ (Porshe) 928, 944 Mazda RX-7 ในรหัส FC นี้ได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในรถยนต์รูปแบบของรถยนต์สปอร์ต ทัวเรอร์ (Sport Tourer Car) มากกว่า (ประมาณว่าเอาไว้ขับเล่นได้) ซึ่งต่างจากตัวโฉมที่ 1 ที่เป็นรหัส SA22 ที่มีการออกแบบมาเป็นรถสปอร์ต (Sport Car) โดยตรง ใน มาสด้า RX7 นั้นได้มีการพัฒนาระบบช่วงล่างเป็นแบบระบบ ไดนามิค (Dynamic Tracking Suspension System) หรือ DTSS ทำให้ล้อสามารถปรับ Toe-in Toe-Out ได้ตามพื้นที่ล้อสัมผัสแตะได้ ทั้ง 4 ล้อ ตอบสนองกับการหักพวงมาลัย คือล้อสามารถบานออกและหุบเข้าได้ตามถนนที่เราขับไปแต่ไม่ใช่ว่าจะบานแบะซะจนล้อเบี้ยวนะครับ แค่พอประมาณในการทรงตัวเท่านั้น ในบอดี้นี้เครื่องยนต์ที่ใช้วางเป็นเครื่อง 13B S4 S5 ที่มีระบบเทอร์โบ (Turbo) มาด้วย และมีพละกำลังสูงสุดถึง 189 แรงม้า และ 200 แรงม้า เลยทีเดียวซึ่งในปัจจุบัน มาสด้า RX7 เป็นอีกตัวเลือก 1 ที่นักดริฟท์ (Drift) นิยมใช้กัน
โฉมที่ 1 (Generation1) มีการผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1978-1985
Mazda RX-7 โฉมที่ 1 นี้เปิดตัวด้วยรหัส SA22C / FB มีอีกชื่อคือ Savanna RX-7 และเครื่องยนต์ที่ใช้วางในบอดี้นี้ใช้เป็นเครื่องยนต์ 12A กับ 13B-RESI มีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า กับ 125 แรงม้า พร้อมทั้งยังมีอัตราเร่งที่ดีไม่น้อยเลยสำหรับในยุคนั้นด้วยอัตราเร่ง 0-80 กม./ ชม. ด้วยเวลาเพียง 6.3 วินาทีเท่านั้น และ มีจุดเด่นอีกอย่างคือ การออกแบบ (Desing) ที่มีการถ่วงศูนย์กลางให้กับตัวรถ จึงทำให้กระจายน้ำหนักแบบ 50/50 ในด้านหน้า 50 เปอร์เซ็น และด้านหลังอีก 50 เปอร์เซ็น จึงเป็นผลดีต่อการคอนโทรลรถในยามใช้ความเร็ว แบบไม่มีการสะบัด หรือดื้อเวลาเข้าโค้ง มันจึงเป็นที่ครองใจใครหลายคนได้ไม่ยาก และมียอดจำหน่ายนอเมริกาและทั่วโลกทั้งหมด 474,565 คัน
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook