เขียนโดย: IronCaptain

เมื่อ: 29 ธันวาคม 2557 - 17:06

แบตเตอรี่รถยนต์ เรื่องง่ายๆที่รู้ไว้ไม่เสียเปล่า

 

แบตเตอรี่รถยนต์ รู้เรื่องไว้ไม่เสียเปล่า

          วันนี้เรา boxzaracing.com จะนำความรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ มาให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงการทำงาน หน้าที่ และมีกี่ชนิด ซึ่งแบตเตอรี่ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งในรถ เพราะเป็นตัวช่วยในระบบไฟฟ้าในรถทั้งหมด ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีออกมาหลายยี่ห้อ หลายรุ่นให้เราเลือก เช่น 3K, BOLIDEN, Panasonic (พานาโซนิค), Yuasa (ยัวซ่า), GS และFB BATTERY เป็นต้น

 

 
 

          แบตเตอรี่ (BATTERY) รถยนต์มีหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ เพื่อให้เครื่องยนต์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายทั้งหลายทำงานได้ แต่แบตเตอรี่ นั้นไม่ใช่ตัวผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เป็นที่เก็บไฟฟ้าสำรอง ซึ่งแบตเตอรี่จะจ่ายกระแสไฟออกเฉพาะตอนสตาร์ทเครื่องยนต์เท่านั้น โดยจะส่งกระแสไฟฟ้าเข้าสู่มอเตอร์สตาร์ท และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ หลังจากนั้นจะมีไดร์ชาร์จเป็นตัวผลิตกระแสไฟฟ้าต่อ ซึ่งเมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ไดร์ชาร์จก็จะทำหน้าที่ประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง โดยกระแสไฟฟ้าจะถูกหมุนเวียนเข้าออกแบตเตอรี่อยู่เสมอ ไม่ได้จ่ายออกไปเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าไดร์ชาร์จมีการทำงานที่สมบูรณ์แบบ กระแสไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้งาน จะถูกนำเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่ แต่ในทางกลับกัน ในเวลากลางคือรถยนต์จะมีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าตอนกลางวัน จึงต้องนำเอาไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาช่วยเสริม

 

แบตเตอรี่ (BATTERY) ที่ใช้ร่วมกับรถยนต์มีด้วยกัน 2 ชนิด

  1. แบตเตอรี่แบบเปียก ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้กันมากในรถยนต์ส่วนใหญ่ โดยจะมีฝาเปิด-ปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น แบตเตอรี่นี้ยังสามารถแบ่งได้อีก 2 ชนิด คือ แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ กับแบบที่ไม่ต้องเติมบ่อยๆ ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้จะมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน โดยแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ จะมีอายุการใช้งานเพียง 1.5-2 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ซั่งทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่การดูแลรักษา แต่ถ้าได้อายุของแบตเตอรี่แล้ว ก็ควรที่จะทำการเปลี่ยนแบตลูกใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

  2. แบตเตอรี่แบบแห้ง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรด และระดับไฟชาร์จ โดยแบตเตอรี่แบบแห้งนั้นมีราคาที่แพง แต่จะมีความทนทาน และอายุการใช้งานที่นานกว่าแบตเตอรี่แบบเปียก ซึ่งจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี

 

 

 

          ซึ่งการเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้น ก็ควรที่จะเปลี่ยนที่มีขนาดของแอมป์เท่าเดิม ไม่ควรเปลี่ยนขนาดแอมป์ให้น้อยลง เพราะกำลังกระแสไฟฟ้าจะไม่สามารถทำให้เครื่่องยนต์ทำงานได้ แต่ถ้าจะเปลี่ยนให้มีขนาดแอมป์สูงขึ้นก็สามารถทำได้ ถ้ามีการเปลี่ยนเครื่องเสียง หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มขนาดแอมป์ และที่สำคัญที่สุด แอมป์ที่สูงขึ้น ขนาดความใหญ่ของแอมป์ก็จะใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย จึงต้องตรวจสอบฐานที่ใส่แอมป์ว่าสามารถรองรับแบตเตอรี่อันนั้นได้หรือไม่

 

          การเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือทำงานกับแบตเตอรี่นั้น ควรที่จะต้องมีความระมัดระวังให้มาก เนื่อจากแบตเตอรี่นั้นมีส่วนประกอบของสารเคมีอยู่ภายในนั้น อาทิ สารตะกั่ว และน้ำกรด เป็นต้น ซึ่งสารเคมีอาจจะทำอันตรายได้ จึงควรที่จะป้องกันไว้ก่อน

  • ไม่ควรทำการเปลี่ยน หรือชาร์จแบตในที่ๆ มีประกายไฟ หรือสะเก็ดไฟจากก้นบุหรี่
  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับแบตเตอรี่นั้น ควรที่จะสวมหน้ากาก หรือแว่นตา
  • ไม่ควรวางแบตเตอรี่ใกล้กับมือเด็ก
  • ควรที่จะเก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ๆ ปลอดภัย และไม่ควรทิ้งแบตเตอรี่ในถังขยะธรรมดา
  • ผู้ใช้ควรที่จะศึกษา หรืออ่านคำแนะนำ และข้อควรระวังที่มีมากับแบตเตอรี่ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนนำมาปฏิบัติ
  • ไม่ควรเอียง หรือตะแคงแบตเตอรี่ เพราะน้ำกรดอาจจะรั่วออกมาได้ แล้วพอเวลาน้ำกรดเดือด จะมีประสิทธิภาพในการกัดกร่อนที่รุนแรง จึงต้องมีการสวมใส่อุปกรณ์ที่ป้องกันให้แน่นหนา

 

 

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ

  • การประจุไฟที่น้อยเกินควร เนื่องจากเกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ
  • การประจุไฟที่มากเกินควร เนื่องจากน้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิในแบตเตอรี่สูงขึ้นมาก จึงทำให้แผ่นธาตุเสื่อมลง
  • การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ เนื่องจากเกิดจากการแตกหัก หรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ และเกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป

 

 

การดูแลแบตเตอรี่ให้มีการใช้งานยาวนาน

  • ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่ ว่ามีรอยแตก รอยร้าวหรือไม่
  • ตรวจน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุกๆ 1 อาทิตย์
  • ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้มีความสะอาดเสมอ ถ้าเกิดมีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้รีบทำความสะอาดทันที
  • ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป

 

ช่องตรวจสภาพความจุของแบตเตอรี่ (ตาแมว) 

 

 

          โดยท่านเจ้าของรถสามารถตรวจดูตรงจุดนี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งด้านบนของแบตเตอรี่จะมีช่องตรวจดูสภาพความจุของแบตเตอรี่อยู่ ถ้ามองไปแล้วเห็นเป็นสีฟ้ารอบๆ และมีไฟสีแดงที่ตรงกลาง แสดงว่าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพไฟเต็ม และถ้าท่านมองเห็นสีแดงตรงกลาง แสดงว่าไฟอ่อน ควรที่จะนำแบตเตอรี่ไปชาร์ทไฟ  แต่ถ้ามองแล้วเห็นเป็นสีแดงรอบๆ แล้วไม่มีสีตรงกลาง แสดงว่าน้ำยาแห้ง ควรที่จะเติมน้ำกลั่นทันที หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่

 

          วันนี้ก็คงได้ความรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ไม่มากก็น้อยแล้วนะครับ ยังไงผู้ขับขี่รถยนต์ทุกท่านก็ควรจะเช็คแบตเตอรี่ทุกๆ อาทิตย์ด้วยนะครับ แต่อย่าลืมนะครับ ว่าต้องใส่เครื่องป้องกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาหรือถุงมือ เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน ครั้งหน้าจะมีอะไรมานำเสนอ ติดตามได้ที่ boxzaracing.com นะครับ

 

 

 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook