MITSUBISHI LANCER EVOLUTION

ALL ABOUT : MITSUBISHI LANCER EVOLUTION

       

ทำความรู้จักกับ Mitsubishi Lancer Evolution กันแบบเจาะลึกดีกว่า

 

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ตลอดเวลานับสิบปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของของบริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์(MITSUBISHI MOTOR.CO.,LTD) ที่ได้มานั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ทางบริษัท ได้เข้าร่วมในกิจกรรมทางด้านวงการมอเตอร์สปอร์ตหลายรายการด้วยกัน แต่ที่เห็นโดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นการแข่งขันแรลลี่โลก หรือ World Rally Championship(WRC) ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าทางบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ภายใต้ชื่อทีม Mitsubishi Ralliart ได้เข้าร่วมทำการแข่งขัน และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เป็นผลสำเร็จอยู่หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งตรงจุดนี้ ทำให้ทางบริษัทนั้นได้หยิบเอาเทคโนโลยีที่ใช้ในรถแข่งมาปรับปรุง และถ่ายทอดในรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนักขับทุกคน และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ตซีดาน(Sport Sedan)สายพันธุ์ร้อนแรงในตระกูลแลนเซอร์ที่มีชื่อว่า Mitsubishi Lancer Evolution หรือที่เรียกกันติดปากว่าอีโว(Evo) โดยจุดประสงค์ในการสร้างเจ้ารถรุ่นนี้ขึ้นมานั้นก็เพื่อที่จะตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่มีใจรักในเรื่องราวของความแรง อย่างถึงที่สุด 

          มาถึงตอนนี้ผมว่าเราไปทำความรู้จักกับเจ้ารถรุ่นนี้กันดีกว่าครับ ว่ามันมีกี่รุ่น กี่เจเนอร์เรชั่น แล้วแต่ละเจเนอร์เรชั่นนั้นมันมีหน้าตาแบบไหน ต่างกันอย่างไร ไปชมพร้อมๆ กันเลยครับ

 

Mitsubishi Lancer Evolution X 

 

โฉมที่ 10 (Generation 10)           

          เริ่มแรกกับโฉมปัจจุบัน อีโว 10(Evo X) รหัสตัวถัง CZ4A เผยโฉมในปี 2007 ถือได้ว่าเป็นการปฎิวัติครั้งใหญ่เพราะรูปทรงจะฉีกออกไปจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างตัวถังพัฒนาให้ทนต่อแรงบิดได้มากขึ้นถึง 40% เพิ่มความยาวของตัวรถและฐานล้อ วัสดุอลูมิเนียมถูกนำมาใช้ในโป่งล้อคู่หน้า, ฝากระโปรง กันชนหน้า-หลัง เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวถัง มีรุ่นย่อย GSR และ RS โดยรุ่น GSR จะเป็นเวอร์ชั่นรถถนนใช้งานทั่วไปมีอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน โช๊ค Bilstein พร้อมสปริง Eibach ระบบเบรค Brembo ส่วนรุ่น RS เป็นเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเป็นรถแข่งอุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขันจะถอดออกหมด ทำให้รุ่น RS มีน้ำหนักเบากว่ารุ่น GSR เกือบ 100 กก. ขุมพลังพัฒนาขึ้นมาใหม่แทนเครื่อง 4G63 โดยเปลี่ยนเป็นเครื่องรหัส 4B11 ที่เป็นเครื่องยนต์แบบ 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมวาล์วแปรผัน Mivec ทำงานควบคู่กับเทอร์โบชาร์จให้พละกำลังสูงสุด 280 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที และมีแรงบิด 43 กิโลกรัมเมตรที่ 3,500 รอบต่อนาที ส่วนระบบส่งกำลังในรุ่น GSR นั้น มีให้เลือก 2 แบบ คือ กึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด Twin Clutch SST (Sport Shift Transmission) และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ส่วนรุ่น RS จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเท่านั้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ S-AWC (Super All Wheel Control) มีโหมดการทำงาน 3 โหมด Tarmac, Gravel และ Snow และรุ่นโมดิฟายพิเศษ  FQ-400 มีเฉพาะตลาดอังกฤษเท่านั้น ชุดแต่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ชิ้นส่วนหลายชิ้นเปลี่ยนมาใช้ คาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อการลดน้ำหนัก พัฒนาเทอร์โบชาร์จให้มีแรงม้าสูงสุด 403 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 542 นิวตันเมตร ทำความเร็วจาก 0-100 กม/ชม. ภายใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 255 กิโลเมตร ตามกฎหมาย

 

Mitsubishi Lancer Evolution IX
 

 โฉมที่ 9 (Generation 9)

          ตามด้วยโฉมที่ 9 หรือ อีโว 9 ที่เราเรียกกันนี้จะถูกผลิตขึ้นมาด้วยกัน 2 บอดี้คือบอดี้ 4 ประตูซีดาน(Sedan) สำหรับเจ้า Evolution IX นี้มันใช้รหัสตัวถัง GH-CT9A เผยโฉมในปี 2006 โดยมีรุ่นย่อยคือ GSR, RS, GT, MR ซึ่งถูกปรับปรุงกันชนหน้ามาจาก อีโว 8(Evo VIII) เป็นแบบเปิดกว้าง ช่วยระบายความร้อนให้กับอินเตอร์คูลเลอร์(Intercooler) ที่มาพร้อมกับพร้อมช่องไฟสปอร์ตไลท์(Sportlight) ส่วนภายในของ อีโว 9 ถูกดีไซน์ใหม่ แผงคอนโซลสีเทาดำลายเคฟล่าห์(Kevlar) เบาะนั่งคู่หน้าแบบบักเก็ตซีท(Bucketseat) จาก Recaro เป็นผ้ากำมะหยี่สลับกับหนัง อัลคันทาร่า(Alcantara) สำหรับเครื่องยนต์ยังคงเป็นรหัส 4G63T ที่ได้รับการพัฒนามาถึงขีดสุด ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน MIVEC โดยย่อมาจากคำว่า Mitsubishi Innovative Valve Timing Electronic Control System มาติดตั้งเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยการเปลี่ยนชุดเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์ไปใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน เพื่อรีดพละกำลังให้ได้มากที่สุดโดยให้กำลังสูงสุด 280 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที และมีแรงบิด 40.8 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ในรุ่น GSR และแรงบิด 41.5 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ในรุ่น GT และ RS สำหรับโฉม Evo IX นี้มีการจำกัดจำนวนการผลิตเอาไว้ที่ 5,000 คันเพียงเท่านั้น 

 


Mitsubishi Lancer Evolution IX Wagon
 

          และบอดี้แวกอน Evolution Wagon หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า Evo Van ที่เผยโฉมในปี 2005 ใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกับ Evo IX ปรับปรุงกันชนหน้าเพื่อรับลมระบายความร้อนให้ดียิ่งขึ้น เสริมโครงสร้างตัวถังด้านหลัง และบริเวณเบ้าโช๊คคู่หลัง เพิ่มจุดเชื่อมตัวถังอีกกว่า 50 จุดในบริเวณฝาประตูเก็บของด้านหลัง มาถึงขุมพลัง 4G63T มีให้เลือกถึง 2 รุ่น คือ GT จะมาพร้อมกับระบบวาล์วแปรผัน Mivec จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้พละกำลัง 280 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดลดลงเหลือ 40 กิโลกรัมเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที และรุ่น GT-A จะไม่มีระบบวาล์วแปรผัน พละกำลังจะอยู่ที่ 272 แรงม้า (เท่ากับรุ่น GT-A แบบซีดาน) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 35 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ในโฉม Evo IX เป็นโฉมสุดท้ายที่ใช้ ตัวถังร่วมกับ Lancer Cedia และขุมพลังระดับตำนานอย่าง 4G63T

 

Mitsubishi Lancer Evolution VIII
 
โฉมที่ 8 (Generation 8)

          ต่อมาเป็นเจเนอร์ชั่นที่ 8(Generation 8) หรือที่เรียกกันว่าอีโว 8 นี้ จะใช้รหัสตัวถัง CT9A โดยมีรุ่นย่อย 3 รุ่นคือ GSR, RS, MR ซึ่งถูกเผยโฉมออกมาในปี 2003 ซึ่งได้ทำการ Minor Change มาจากตัว อีโว 7(Evo VII) บริเวณกันชนหน้ามีโลโก้ตรงกลางทรง V Shape เสริม canard ด้านข้างกันชน ส่วนด้านใต้ห้องเครื่องมีแผ่นปิดบังลม เพื่อลดลมหมุนใต้ท้องรถ และสำหรับในรุ่น MR จะมีครีบจัดเรียงอากาศ(Blowtec Generator) ที่อยู่เหนือกระจกหลัง สำหรับขุมพลังนั้นถูกปรับปรุงให้มีความแข็งแรงมาขึ้น ใช้ลูกสูบแบบฟอร์จ(Forged) และแหวนลูกสูบที่ถูกเคลือบด้วย ION Coat เสริมปะเก็นจาก 3 แผ่นเป็น 5 แผ่นเพิ่มบูส(Boost) เป็น 19 ปอนด์ ทำให้แรงบิดของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 40.8 กิโลกรัมเมตร ส่วนระบบส่งกำลังใน Evo VIII นั้นมีให้เลือกทั้ง 5 Speed และ 6 Speed ช่วงล่างโช๊คหน้า-หลังใช้ของ Bilstein แถมยังปรับความแข็ง-อ่อนได้ โฉม Evo VIII จำกัดการผลิต 5,000 คัน

 


Mitsubishi Lancer Evolution VII
      

โฉมที่ 7 (Generation 7)

          ตามมาติดๆ กับ อีโว 7(Evo 7) ที่ใช้รหัสตัวถัง CT9A โดยจะมีรุ่นย่อย 3 รุ่นคือ GSR, RS และ GTA ถูกเผยโฉมครั้งแรกในปี 2001 สำหรับในโฉมนี้มันได้ถูกพัฒนามาจากรถบ้าน 4 ประตูซีดาน(Sedan) อย่าง แลนเซอร์ ซีเดีย(Lancer Cedia) โครงสร้างตัวถังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ เพิ่มความแข็งแรงในจุดต่างๆ ซุ้มโช๊คหน้า-หลัง, คานหน้า, เสาประตู รวมไปถึงคานป้องกันการบิดตัว ฯลฯ ถูกลดน้ำหนักด้วยการใช้กระจกหน้าที่บางลง 10% ฝากระโปรงหน้าและแก้มข้างที่ขึ้นรูปด้วยวัสดุอลูมิเนียม ส่วนทางด้านของเครื่องยนต์นั้นเป็นรหัส 4G63T ปรับปรุงทางเดินไอดี-ไอเสียให้มีความไหลลื่นเพิ่มความกว้างของอินเตอร์คูลเลอร์(Intercooler)อีก 20 ม.ม. แรงม้าสูงสุด 280 ตัวที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดขยับขึ้นเป็น 39 กิโลกรัมเมตร 3,500 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ ACD (Active Center Differential) เป็นระบบแบ่งแรงบิดจากเครื่องยนต์ลงสู่ล้อคู่หน้าและหลังเท่าๆกัน ทำให้พวงมาลัยตอบสนองได้อย่างดี ทำงานควบคู่กับ AYC (Active Yaw Control) ที่อยู่ใกล้ๆ กับเฟืองท้ายทำให้สามารถควบคุมรถได้ในทุกสถานการณ์ สำหรับโฉม อีโว 7 นี้ได้เพิ่มรุ่นขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่นคือ GT-A ที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II ออกมาเป็นครั้งแรก โดยจะมีปุ่ม Sport Shift ที่เลือกเปลี่ยนเกียร์เองได้ที่พวงมาลัย ทางด้านของพละกำลังนั้นลดลงไปเล็กน้อย 272 แรงม้า แรงบิด 35 กิโลกรัมเมตร เหตุผลเพราะใช้เทอร์โบขนาดเล็กเพื่อให้บูส(Boost) มาไวขึ้น และในโฉม Evo VII นี้จำกัดการผลิตที่ 10,000 คัน และในรุ่น GT-A จำกัดการผลิตที่ 2,000 คันเพียงเท่านั้น

 


Mitsubishi Lancer Evolution VI
 

Mitsubishi Lancer Evolution VI TOMMI EDITION
 
โฉมที่ 6 (Generation 6)
          สำหรับในโฉมนี้เป็นเจเนอร์ชั่นที่ 6 แล้วสำหรับรถสปอร์ตซีดานยอดนิยมจากค่ายมิตซูบิชิ โดยในโฉมนี้จะใช้รหัสตัวถัง CP9A เผยโฉมในปี 1999 ได้รับการปรับปรุงมาจากตัว Evo V เล็กน้อยตรงกันชนหน้าทำการขยับไฟตัดหมอกไปอยู่ด้านข้างกันชน สปอยเลอร์หลังถูกลดขนาดให้เล็กลง เพิ่มปีกเป็น 2 ชั้น ส่วนที่ปรับปรุงหลักๆ ในโฉมนี้เป็นจะเป็นในส่วนของเครื่องยนต์ ที่ปรับปรุงทางด้านของวัสดุการผลิตลูกสูบให้มีน้ำหนักเบาขึ้นอีก 7% และเพิ่มการระบายความร้อนให้กับลูกสูบด้วยระบบ Oil Jet Spray โดยเทอร์โบในรุ่น RS นั้นใช้รหัส TD05HRA ความพิเศษอยู่ตรงที่แกนเทอร์โบทำจากไททาเนียมผสมอัลลอย ทำให้น้ำหนักเบากว่ารุ่นธรรมดาถึง 50% เพิ่มระบบ ALS(Anti Lag System) ลดอาการแล็คของเทอร์โบ แรงม้า-แรงบิดยังคงเท่าเดิม 280 แรงม้า แรงบิด 38 กิโลกรัมเมตร ช่วงล่างทำการพัฒนาครั้งใหญ่ โดยใช้วัสดุอลูมิเนียม ช่วยลดน้ำหนักให้กับช่วงล่าง จุดยึดช่วงล่างขยับลงมาอีกเล็กน้อย เพื่อตอบสนองกับช่วงล่างได้ดียิ่งขึ้น และในโฉม Evo VI นี้จำกัดการผลิตที่ 7,000 คัน 
 
Mitsubishi Lancer Evolution V
 
โฉมที่ 5 (Generation 5)
          มาถึงโฉมที่ 5 หรือที่เรียกกันว่า อีโว 5(Evo 5) นี้จะใช้รหัสตัวถัง CP9A เผยโฉมในปี 1996 โฉมนี้มีการปรับปรุงเล็กน้อย เช่น ไฟหน้าเหลี่ยมคมมากขึ้น กันชนหน้าขยายช่องรับลมให้เข้าไปเป่าอินเตอร์คูลเลอร์ได้มากยิ่งขึ้น โป่งล้อถูกขยายให้กว้างขึ้น สปอยเลอร์หลังไม่มีเสากลาง ตรงแผ่นกดอากาศสามารถปรับได้ 4 ระดับ เพื่อเพิ่มแรงกด เครื่องยนต์ปรับปรุงเรื่องน้ำหนักของลูกสูบให้เบาและแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มขนาดหัวฉีดเป็น 550 ซีซี. เพิ่มกำลังอัดจาก 8.8:1 เป็น 9.0:1 แม้แรงม้าจะถูกตัดไว้ที่ 280 ตัว แต่แรงบิดมีไม่อั้นขยับขึ้นไปอยู่ที่ 38 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ระบบเบรกเป็นรุ่นแรกที่นำระบบเบรกระดับโลกอย่าง Brembo มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ล้อและยางที่ใหญ่ขึ้นขนาด 225/45ZR17 และในโฉม Evo V ถูกจำกัดการผลิตที่ 6,000 คัน
 
Mitsubishi Lancer Evolution IV
 
โฉมที่ 4 (Generation 4)
          ตามด้วยเจเนอร์เรชั่นที่ 4 หรือที่เรียกว่า อีโว 4 นั้นใช้รหัสตัวถัง CN9A เผยโฉมในปี 1996 สำหรับโฉมนี้ได้รับการพัฒนาใหม่หมดชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ทิ้งเค้าโครงเดิมไว้เลย โดยเจ้า Evo 4 - Evo 6 จะใช้ตัวถังร่วมกับ Lancer CK2 ซึ่งในบ้านเราจะเรียกว่ามิตซู ท้ายเบนซ์ เริ่มแรกในส่วนของตัวถังมีการเพิ่มจุด Spot เสริมโครงสร้างให้มีความแข็งแรง เพื่อรองรับแรงม้า และแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้น กันชนหน้ามีช่องสำหรับติดตั้งไฟตัดหมอกขนาดใหญ่ สปอยเลอร์หลังทรงสูงพร้อมเสาค้ำกลาง ทางด้านเครื่องยนต์ 4G63T พัฒนาใหม่หมด โดยในรุ่นนี้เครื่องยนต์จะหันกลับด้าน โดยหันหน้าเครื่องยนต์ไปอยู่ฝั่งคนขับ แล้วทำการบาลานซ์น้ำหนักใหม่ ทำให้มีความเสถียรในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ส่วนเทอร์โบนั้นใช้เป็นรหัส TD05HR แบบ Twin-Scroll ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของตัว Evo3 พร้อม One way valve คายไอดีไปยังหน้าใบเทอร์โบช่วยลดรอบเทอร์โบระหว่างถอนคันเร่ง โดยเพิ่มหัวฉีดน้ำระบายความร้อนให้กับอินเตอร์คูลเลอร์ ส่วนระบบไฟ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคใน Evo IV ถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมด คอยล์จุดระเบิดเป็นแบบแยกตามสูบ หรือที่เราเรียกกันว่าคอล์ยแยกนั่นแหละครับ ส่วนหัวฉีดนั้นเป็นขนาด 510 ซีซี. การปรับปรุงขนานใหญ่ส่งผลให้ผลิตแรงม้าสูงสุดเฉียดเพดานกฎหมายญี่ปุ่นที่ 280 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 36 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time เพิ่มเติมระบบ AYC (Active Yaw Control) ซึ่งจะเป็นระบบกระจายแรงขับเคลื่อนให้เท่ากันทุกล้อ ส่วนล้อแม็กซ์เปลี่ยนจากน็อตล้อเดิม 4 รู 114.3 (ใน evo 1-3) มาเป็น 5 รู 114.3 ใช้ล้อจาก O.Z. Racing ใส่ยางขนาด 205/55R16 โฉม Evo IV ผลิตจำกัดจำนวนเพียง 6,000 คัน
 
Mitsubishi Lancer Evolution III 
 
โฉมที่ 3 (Generation 3)
          สำหรับในโฉมนี้จะใช้รหัสตัวถัง CE9A เผยโฉมในปี 1995 ซึ่งเป็นโฉมสุดท้ายในรหัสตัวถัง CE โดยในโฉมนี้ได้รับการปรับปรุงกันชนหน้าให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและดุดันยิ่งขึ้น สเกิร์ตข้างมีสัญลักษณ์ Evolution III กันชนหลังเพิ่มครีบจัดเรียงอากาศ ลดอากาศที่หมุนวนบริเวณท้ายรถ สปอย์เลอร์ 2 ชั้นพร้อมเสาค้ำกลางเพิ่มความแข็งแรงและช่วยตัดอากาศได้ดียิ่งขึ้น ส่วนขุมพลังนั้นเป็นเครื่องยนต์รหัส 4G63T ที่ได้มีการเพิ่มเติมในส่วนของ One Way valve หลังคอไอดีทำให้เพิ่มกำลังสูงสุดที่ 270 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดคงที่ 31.5 กิโลกรัมเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที และในโฉม Evo III นี้จำกัดการผลิตที่ 5,000 คันเพียงเท่านั้น
 
Mitsubishi Lancer Evolution II
 
โฉมที่ 2 (Generation 2)
          ในโฉมที่ 2 นี้มันได้ใช้รหัสตัวถัง CE9A เผยโฉมในปี 1994 พัฒนามาจาก Evolution I รูปร่างภายนอกยังไม่มีความต่างอย่างชัดเจน แต่มีการขยายช่องรับลมอินเตอร์คูลเลอร์และช่องลมเป่าดิสเบรคให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สปอยเลอร์ทรงสูงแบบเดียวกับ อีโว 1 แต่มีการเพิ่มชิ้นล่างเป็นสองชั้น ส่วนทางด้านเครื่องยนต์ใช้เป็นรหัส 4G63T แล้วปรับปรุงในส่วนระบบระบายไอเสียที่ทำให้สามารถคายไอเสียได้เร็วขึ้น เพิ่มบูส(Boost) ขึ้นอีกเล็กน้อยแรงม้าขยับขึ้นมาเป็น 260 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดยังคงที่ 31.5 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ส่วนช่วงล่างขยายฐานล้ออีกด้านละ 10 มิล. ขยายจานเบรคให้ใหญ่ขึ้นใช้ล้อแม็กซ์ O.Z Racing ขนาด 15 นิ้ว ใส่ยางขนาด 205/60R15
 
Mitsubishi Lancer Evolution I
 
โฉมที่ 1 (Generation 1)
          ในโฉม 1 นี้ใช้รหัสตัวถัง CD9A เผยโฉมครั้งแรกในปี 1992 ถูกพัฒนาต่อยอดจากรถบ้าน 4 ประตูซีดานอย่าง แลนเซอร์(Lancer) หรือที่ในบ้านเราจะเรียกว่ามิตซู อีคาร์(E-car) ซึ่งข้อแตกต่างระหว่าง E-Car กับ Evo 1 ก็คือตัว อีโว 1 จะมีกันชนหน้ามีช่องรับลมขนาดใหญ่, ฝากระโปรงอลูมิเนียม พร้อมช่องระบายความร้อนอินเตอร์คูลเลอร์, โป่งล้อซ้าย-ขวามีขนาดใหญ่กว่า ส่วนด้านหลังติดตั้งสปอยเลอร์ทรงสูงชั้นเดียวเพื่อเพิ่มแรงกดขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง และสำหรับเจ้า อีโว 1 นี้มีรุ่นย่อย 2 รุ่นด้วยกันคือรุ่น RS เป็นรุ่นที่ได้มีการนำเอาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกออกทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีความพร้อมใช้ในการแข่งขันได้อย่างสะดวกและปลอดภัย แถมยังมีการเพิ่ม LSD(Limited Slip) ในล้อคู่หน้า และหลังเพื่อให้มีแทรคชั่น(Traction) ที่ดีมากยิ่งขึ้น อีกรุ่นนึงก็คือรุ่น GSR คือจะเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานบนถนนทั่วไปซึ่งจะมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน (รุ่น RS และ GSR เป็นรหัสการแบ่งรุ่นเริ่มใช้ตั้งแต่ Evo I จนถึงปัจจุบัน) เครื่องยนต์ที่เลือกใช้คือ 4G63T ความจุ 1,998 ซีซี. ที่พัฒนามาจาก Galant VR-4 ใช้เทอร์โบรหัส TD05H ให้พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 31.5 กิโลกรัมเมตรที่ 3,000 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time ของ Evo I ได้รับการพัฒนามาจาก Galant VR4 อีกเช่นกัน
 
          จบกันไปแล้วนะครับสำหรับเจ้า Mitsubishi Lancer Evolution ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นตำนานแห่งท้องถนนที่ยังคงถูกบันทึกไปอีกยาวนาน ถึงแม้ว่ารุ่นต่อไปจะยังไม่มีต้นแบบออกมาก็ตาม และสำหรับในวันนี้หวังว่าเพื่อนๆ ที่มีใจรักในเรื่องราวของอสูรกายขับสี่รุ่นนี้ คงจะได้รู้ประวัติความเป็นมาของมัน ว่ามีที่มา ที่ไป อย่างไร สุดท้ายนี้ถ้าหากใครมีความสนใจในเรื่องของรถแต่งแล้วละก็ สามารถเข้าไปชมได้ที่เว็ปไซต์ Boxzaracing.com กันได้เลยนะครับ
เขียนโดย: ART 4G
เมื่อ: 7 กรกฏาคม 2557 - 19:02

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook

เครื่องยนต์ยอดนิยมล่าสุด