ขับรถต้องรู้ น้ำมันเครื่องสำคัญขนาดไหน ! เติมผิดไปงานเข้านะค้าบ !
น้ำมันเครื่องที่มีขายกันอยู่ตามท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น Motul, Mobil-1, PTT, Shell, Eneos, Valoline, HKS ฯลฯ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีเกรดของน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกันไป ซึ่งหลายคนก็อาจจะสงสัยว่าตัวเลขต่างๆที่ปรากฎอยู่บนฉลากของน้ำมันเครื่องแต่ละยี่ห้อนั้นมีความหมายว่าอะไร วันนี้ทาง Boxzaracing ก็ได้นำเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องมาฝากเพื่อนๆกันครับ
แต่ก่อนอื่นเราไปทราบประโยชน์ของน้ำมันเครื่องกันก่อนดีกว่าครับ
ซึ่งจากประโยชน์ที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าตัวน้ำมันเครื่องนั้นมีความสำคัญกับเครื่องยนต์อย่างมาก ดังนั้นในการเลือกน้ำมันเครื่องเราต้องดูที่ 3 ส่วนหลักๆนั้นก็คือ
ประเภทของน้ำมันเครื่อง โดยน้ำมันเครื่องนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
เกรดของน้ำมันเครื่อง
โดยน้ำมันเครื่องแต่ละชนิดจะมีเกรดของน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะต้องส่งน้ำมันเครื่องของตนเองนั้นไปทดสอบคุณภาพที่สถาบัน AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE หรือ API โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่
แต่จริงๆแล้วนั้นน้ำมันเครื่องนั้นสามารถใช้ได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล แต่จะมีความเหมาะสมที่แตกต่ากันเช่น ถ้าน้ำมันเครื่องตัวนี้เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซินมากกว่า ตัวอักษรก็จะเป็น API SL/CI-6 แต่ถ้าน้ำมันเครื่องตัวนี้เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่า ตัวอักษรก้จะกลายเป็น API CI-6/SL เป็นต้น
ความหนืดของน้ำมันเครื่อง
โดยค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องนั้นจะถูกทดสอบโดยสถาบัน สมาคมวิศวกรรมยานยนต์หรือ SAE (SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS) โดยค่าความหนืดนั้นจะเป็นตัวเลข 5,10,15,30,40,50 ดังตัวอย่างเช่น
โดยตัวเลขที่แบ่งเกรดค่าความหนืดนั้น ถ้าตัวเลขยิ่งมาก ก็แสดงว่าค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องตัวนั้นยิ่งสูงตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งในประเทศไทยการเลือกค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องควรดูเฉพาะค่าหลังเป็นสำคัญ เพราะประเทศไทยไม่มีอากาศที่หนาวเย็นถึงขนาดติดลบจึงไม่จำเป็นต้องกังวลตัวเลขด้านหน้าเท่าใดนัก
ซึ่งปกติแล้วการเลือกน้ำมันเครื่องของรถแต่ละคันนั้นให้อิงตามคู่มือที่ติดมากับตัวรถโดยค่าปกตินั้นจะอยู่ที่ 40 ในค่าความหนืดตัวหลัง แต่ถ้าเกิดเมื่อใช้รถยนต์หนักและเครื่องยนต์มีอายุมากและกินน้ำมันเครื่อง ควรมีการปรับเบอร์ขึ้นไปเป็นเบอร์ 50 เพื่อป้องกันการรั่วของกำลังอัด แต่ถ้ารถยนต์อยู่ในสภาพปกติและอากาศไม่ร้อนมาก ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดน้อยๆเพื่อที่ตัวน้ำมันเครื่องจะได้สามารถไหลผ่านไปได้ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดน้อยเกินไป ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ไม่มีฟิลม์ไปเคลือบชิ้นส่วนโลหะภายใน ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าที่ควรนั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับความรู้เรื่องรถเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องที่ทาง Boxzaracing.com นำมาฝากเพื่อนๆในวันนี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กันบ้างนะครับ สำหรับคราวหน้า Boxzaracing จะมีเกร็ดความรู้เรื่องไหนมาฝากอีกก็คงต้องติดตามกันนะครับ สำหรับวันนี้คงต้องลาไปก่อน สวัสดีครับ