เขียนโดย: IronCaptain

เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2557 - 20:01

ฟิล์มกรองแสงมีประโยชน์อย่างไร มีกี่ประเภท

 

ฟิล์มกรองแสงมีประโยชน์อย่างไร มีกี่ประเภท ราคาเท่าไหร่ รู้ไม่ยาก

 

          ตอนนี้โลกเราได้ร้อนขึ้นทุกวัน คนเราก็โดนรังสีต่างๆ มากมาย แม้แต่อยู่ในรถก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มนุษย์จึงได้คิดค้นวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยให้เราป้องกันรังสี และความร้อนพวกนี้ขึ้นมา ซึ่งได้รับความนิยมจากคนใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก โดยวันนี้เราจะนำความรู้เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสงที่ใช้ติดรถมาอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจ ว่าควรจะเลือกฟิล์มติดรถแบบไหน แล้วแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ราคาเท่าไหร่กันนะครับ

 

 

 

 

          ฟิล์มกรองแสงนั้นเป็นวัสดุที่โปร่งแสง แต่ช่วยลดความร้อน ลดรังสีอินฟราเรด และรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่เข้ามากระทบ ทำให้ช่วยลดความร้อนภายในรถ เมื่อต้องจอดอยู่กลางแสงแดด ซึ่งฟิล์มที่ว่านี้สามารถแบ่งได้หลายประเภท

 

 

 

 

          แบบไม่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแดด คือ ฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการกรองแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาให้อ่อนลง แต่จะไม่สามารถป้องกันอันตรายจากพวกรังสีต่างๆ ที่มากับแสงแดดได้ รวมถึงสามารถกันความร้อนได้ไม่เกิน 50% เท่านั้น โดยอายุการใช้งานของฟิล์มประเภทนี้จะอยู่ที่ 3-5 ปี ส่วนราคาจะอยู่ที่ 800-1,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก

 

 

 

 

          แบบมีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแดด คือ ฟิล์มที่จะเพิ่มวัสดุพิเศษเข้าไปในเนื้อฟิล์ม เพื่อให้ป้องกันรังสีต่างๆ และความร้อนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้อีก 4 ประเภท

 

 

 

 
 
 
  • ฟิล์มปรอท, ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน ตัวฟิล์มจะคล้ายกระจกเงา ซึ่งคนข้างนอกจะมองเข้าไปในตัวรถไม่ได้เลยในเวลากลางวัน แต่ถ้าตอนกลางคืนจะสามารถมองเข้าไปได้ ฟิล์มชนิดนี้จะมีคุณภาพในการลดความร้อนตั้งแต่ 35-90% รวมถึงป้องกันรังสีต่างๆ อายุการใช้งานของผิล์มชนิดนี้จะอยู่ที่ 3-7 ปี ส่วนราคาจะอยู่ที่ 2,000-5,000 บาท

 

 

 
  • ฟิล์มอินฟราเรด (Infrared Film) เป็นฟิล์มที่เคลือบสารเคมีพิเศษเข้าไป เพื่อทำการตัดรังสีอินฟราเรด ซึ่งฟิล์มชนิดนี้เป็นฟิล์มที่สามารถกันความร้อนได้ดีที่สุด แต่ก็เป็นฟิล์มที่มีราคาสูงมากเช่นเดียวกัน

 

 

 
 
  • ฟิล์มนิรภัย (Safety Film) เป็นฟิล์มชนิดที่มีความหนาตั้งแต่ 4 MIL ขึ้นไป (1 MIL = 1/1,000 นิ้ว) มีทั้งชนิดลดความร้อน และไม่ลดความร้อน ซึ่งฟิล์มชนิดนี้จะทำการยึดเกาะแผ่นกระจกให้คงรูปมากที่สุด และยังจะช่วยซับแรงจากการกระแทกได้อีกด้วย

 

 

 

 
 
  • ฟิล์มใสนาโน เป็นฟิล์มที่แสงสามารถส่องผ่านได้มากที่สุดถึง 60% แต่ก็เป็นฟิล์มที่ช่วยลดความร้อนได้สูง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งฟิล์มชนิดนี้ส่วนมากมักจะราคาที่ค่อนข้างสูง

 

 

 

 
 

          ฟิล์มกรองแสงในบ้านเรานั้น ส่วนมากจะเรียกกันติดปากว่าฟิล์มนี้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยมากจะมี 40, 60และ80 ที่ใช้ติดรถในปัจจุบัน ซึ่งสามารถอธิบายคำว่าเปอร์เซ็นต์เหล่านี้ได้ว่า

  • ฟิล์ม 40% นั้น บางยี่ห้ออาจจะเรียกว่าฟิล์มใส เพราะแสงสามารถเข้าไปในตัวรถถึง 35%
  • ฟิล์ม 60% คือ ฟิล์มที่แสงสามารถส่องเข้าไปในตัวรถประมาณ 20%
  • ฟิล์ม 80% คือฟิล์มที่มีความเข้มมากที่สุด ซึ่งแสงจะส่องผ่านฟิล์มเข้าไปในตัวรถได้เพียง 5%

  

 

 
 

          การติดฟิล์มกรองแสงของรถยนต์นั้น ก็ถือว่าเป็นการแต่งรถชนิดหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยได้มีกฏหมายข้อบังคับเกี่ยวกับการติดฟิล์มออกมา โดยสามารถติดฟิล์มที่กระจกหน้า และหลังได้ แต่ไม่สามารถติดฟิล์มที่มีความเข็มเกิน 40% ส่วนกระจกข้างไม่สามารถติดฟิล์มที่มีความเข้มเกิน 60% โดยที่ออกกฏหมายฉบับมีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน กฏหมายจึงมีการผ่อนผันให้ แต่ก็ไม่ใช่จะติดฟิล์มให้ทึบทุกบานจนไม่สามารถขับขี่ได้

 

          ฟิล์มกรองแสงเป็นวัสดุชิ้นหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญกับรถมาก เพราะถ้าติดฟิล์มที่ดีมีคุณภาพ ผู้ขับขี่ก็จะขับได้อย่างปลอดภัย และมีความสุข แต่ถ้าติดฟิล์มที่เข้มไป หรือไม่มีคุณภาพ ก็อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ในบ้านเรานั้นก็มีหลากหลายยี่ห้อ อาทิ Lamina (ลามีน่า), 3M (3เอ็ม), Hi-Kool (ไฮคูล) และXtra-cole (เอ็กตร้าคูล) เป็นต้น ให้ท่านได้เลือกกันอย่างจุใจ แต่ก่อนจะเลือกฟิล์มประเภทไหน ยี่ห้ออะไร ก็ควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับ ว่าท่านใช้รถเวลาไหนมากที่สุด และท่านต้องการแบบไหนมากที่สุด คราวหน้าเราจะนำความรู้อะไรมานำเสนออีก ติดตามได้ที่ boxzaracing.com ครับ

 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook